นิกายสุขาวดีกับวิถีชีวิตสังคมยุคใหม่
คำนำ นายสกล เหลืองไพฑูรย์
พระพุทธศาสนามีอายุสืบทอดถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ ๒,๖๐๐
ปี
นับแต่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ได้ผ่านกาลเวลาที่ยาวนานทั้งในยุคที่เจริญรุ่งเรืองและยุคเสื่อม ก่อนที่จะขยายออกไปเป็นพระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน
ส่วนที่แผ่ไปทางเหนือของอินเดียนั้นเป็นแบบมหายาน
ส่วนที่แผ่มาทางใต้ของอินเดียเป็นแบบเถรวาท ซึ่งล้วนมาจากจุดกำเนิดเดียวกันมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือช่วยให้มนุษย์ พ้นจากความทุกข์
จุดเด่นของพระพุทธศาสนามหายาน นอกจากเรื่องแนวคิดพระโพธิสัตว์แล้วคือเรื่องสวรรค์สุขาวดี คตินี้เริ่มเกิดในชมพูทวีป เมื่อราวพุทธศักราชล่วงได้ ๖๐๐ ปี มีความเชื่อถือกว้างขวางมาก ทั้งในประเทศจีนและญี่ปุ่น” จึงมีประเด็นที่น่าศึกษาว่าเพราะเหตุใด นิกายสุขาวดีจึงมีผู้นับถือจำนวนมาก ทั้งในประเทศจีน ไต้หวัน
เกาหลี และญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าทั้งทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
และเพราะเหตุใดแนวความคิดเรื่องสุขาวดีจึงสามารถผสมกลมกลืนได้กับวิถีชีวิตสังคมที่ทันสมัยเช่นนั้นได้
ประวัติความเป็นมาของนิกายสุขาวดี
ในหนังสือศาสนาต่างๆพระญาณวโรดมได้กล่าวไว้ว่า พระพุทธศาสนาแพร่ไปสู่ประเทศจีนอย่างเป็นหลักฐานเมื่อราว
พ.ศ.๖๑๐ ในสมัยพระเจ้าฮั่นเม่งเต้ แห่งราชวงศ์ฮั่น พระองค์ได้ส่งคณะฑูตไปสืบพระพุทธศาสนาที่อินเดีย เมื่อกลับไปยังเมืองจีนได้พาพระเถระชาวอินเดีย
๒ รูปไปด้วยคือท่านกัศยปมาตังคะ
(เกียเฮียะม่อเท้ง) กับท่าน ธรรมรักษ์
(เต็กฮวยลั้ง) ท่านทั้งสองนี้เป็นพระนิกายมหายานได้นำคัมภีร์มหายานไปจากอินเดียด้วย เช่น
คัมภีร์ทศภูมิสังโยชน์ภินทรสูตร
เป็นต้น
คัมภีร์เหล่านี้เป็นภาษาสันสกฤต
ท่านทั้งสองได้แปลเป็นภาษาจีน
เมื่อพระพุทธศาสนาเข้าไปเจริญในจีนแล้ว
คณาจารย์จีนได้นำเอาความนึกคิดแบบจีนมาประกอบเลยเกิดเป็นนิกายต่างๆขึ้น มีลักษณะผิดไปจากนิกายมหายานในอินเดียบ้าง เหมือนบ้าง
นิกายที่เกิดในประเทศจีนแท้ๆ
นั้นมี ๑๕ นิกาย
แต่ย่อแล้วมี ๘ นิกาย หนึ่งในนั้นคือ นิกายสุขาวดี
(เจ่งโท้วจง)
นิกายสุขาวดี ปฐมาจารย์ของนิกายนี้คือท่านฮุ่ยเอี้ยง ในสมัยราชวงศ์จิ้น ตั้งสำนักอยู่บนเขาลู้ซัว แคว้นกังไส ต่อมาสมัยราชวงศ์ถัง คณาจารย์ชานตา
ได้วางระเบียบแบบแผนของนิกาย
และถือเอา ๓ พระสูตรเป็นหลัก คือ ๑. มหาสุขาวดีวยูหสูตร (ไต้ออนี้ถ่อหุกเก็ง) ๒. จุลสุขาวดีวยูหสูตร (ออนี้ถ่อเก็ง)
๓.
อมิตายุรชยานสูตร
(กวงบ่อเหลี่ยงซิวเก็ง)
หลักธรรม ของนิกายนี้
คือ ภักดีนิยม โดยพึ่งอำนาจภายนอก คือพึ่งพระอมิตาภาพุทธะ ด้วย ศรัทธา (ลิ่ง)
อธิษฐาน (ง้วง) ปฏิบัติ (เหง)
ศรัทธา
คือเชื่อในพระอมิตาภาพุทธอย่างที่สุด
อธิษฐานคือตั้งใจขอให้ไปเกิดในแดนสุขาวดีพุทธเกษตร ปฏิบัติ
คือท่อง ออกพระนามอมิตาภาพุทธไม่ขาด
-๒-
ว่า นโม อมิตาภา
พุทธายะ หรือจีนว่านำโม ออนี
ถ่อหุก ญี่ปุ่นว่า นำบู
อมิตายุตสึ ญวนว่า นำโบ อายีด้าเผิก นิกายนี้ มีหลักการง่ายๆ สำหรับสามัญชนทั่วไป ไม่มีหลักปรัชญาที่ต้องคิดมาก เป็นการปฏิบัติง่ายๆ เพื่อผลมหาศาล วิธีพ้นทุกข์
ประสบสุข
ของพระพุทธศาสนานั้นย่อมสำเร็จได้ด้วยมรรคญาณแต่ในนิกายนี้ ถือว่าสำเร็จได้ด้วยความภักดี คือภักดีมรรค
แบบลัทธิศาสนาพราหมณ์
จึงเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป
ที่มิใช่ชั้นปัญญาชนแต่เป็นคนชอบทำง่ายเพื่อได้ผลมหาศาล
ลักษณะของดินแดนสุขาวดี
ในหนังสือ พุทธศาสนามหายาน
ของอาจารย์สุมาลี มหณรงค์ชัย
ได้กล่าวถึงดินแดนสุขาวดี ไว้ดังนี้
สุขาวดีเป็นพุทธเกษตรแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากโลกธาตุเราไปทางตะวันตก นับแสนโกฏิ ที่นั่นปกครองโดยพระอมิตาภะ
พุทธเกษตรแห่งนี้ได้รับการกล่าวขานว่ารุ่งเรืองสมบูรณ์ เต็มไปด้วยความสุขสบาย
ปราศจากสัตว์หรืออมนุษย์ที่ชั่วร้าย
ในแดนสุขาวดีเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม
ประดับประดาไปด้วยแก้วแหวนเงินทองล้ำค่า เครื่องประดับพวกเพชรพลอยรัตนชาติทั้งหลายสามารถพบเห็นได้ทุกแห่ง
สวยงามและส่องสว่างไปทั่ว ที่นั่นจะมีเสียงทิพย์จากเครื่องดนตรีที่ไพเราะชนิดที่เราไม่อาจได้ยินในทางโลกหรือแม้แต่สวรรค์ชั้นสูง
ประสาทราชวังล้วนประดับด้วยมณีรัตนะ
สระน้ำกว้างหลายสระนับได้เป็นร้อยโยชน์พันโยชน์ก็มี น้ำภายในสระมีกลิ่นหอมอบอวล
ดอกบัวที่อยู่ภายในก็เป็นที่อุบัติของสัตว์ทั้งหลาย เวลาหนึ่งวัน
(ยี่สิบสี่ชั่วโมง) ในสุขาวดีเทียบได้กับหนึ่งกัลป์ของโลกมนุษย์ ที่สุขาวดีไม่มีฤดูกาล
อากาศเย็นสบายอยู่เป็นนิตย์ ผู้ไปเกิด ณ ตรงนั้นล้วนเป็นอุปปาติกะ (คือเกิดแล้วโตทันที) ในดอกบัว
ไม่มีการแบ่งแยกเพศหรือวรรณะ ไม่มีเชื้อชาติ อายุ เรื่อยไปจนถึงโรคภัยไข้เจ็บใดๆ
ผู้ที่อุบัติในแดนนั้นล้วนแต่เที่ยงต่อนิพพาน
คืออย่างไรเสียก็จะได้หลุดพ้นที่สุขาวดี ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว
ปรารถนาสิ่งใดก็จะได้สมประสงค์ จะได้ยินเสียงธรรมบรรยายของพระอมิตาภะและโพธิสัตว์อยู่เสมอจนกว่าจะหลุดพ้น
ดังนั้น อายุของสัตว์ที่อุบัติที่นั่นจึงนับประมาณไม่ได้
ถ้ายังไม่หลุดพ้นก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกองทุกข์ แต่ถ้าหลุดพ้นแล้ว จะตั้งปณิธานเพื่อกลับมาโปรดเวไนยสัตว์ในโลกธาตุอื่นก็สามารถทำได้
ข้อมูลบางแห่งอธิบายดินแดนสุขาวดีไว้ว่า
เป็นสถานที่อันงามวิจิตร เต็มไปด้วยอัญมณีล้ำค่า มีภูเขา รัตนมณีเจ็ดลูก
เรียงรายประดุจกำแพงแก้วเจ็ดชั้น มีแนวต้นตาลทองอีกเจ็ดแถว
แต่ละแถวมีตาข่ายกระดึงทองขึงโยงไว้ มีเสียงใสๆ
เสนาะโสตเวลาลมพัดมาตามพื้นที่ระเรื่อยไปก็ล้วนเกลื่อนกลาดด้วยรัตนชาติเจ็ดอย่าง
ได้แก่ เพชร พลอย มรกต บุษราคัม เพทาย ไพฑูรย์ และหยกเขียว
ที่สำคัญคือมีสระโบกขรณี (สระบัว) อยู่มากมาย
ทุกสระล้วนมีองค์ประกอบทิวทัศน์อันสวยวิจิตรแปดประการ คือ ๑) น้ำในสระใสราบรื่น
๒)
ระดับน้ำลึกเต็มเสมอขอบ
กาก้มลงกินน้ำได้ ๓) ท่าน้ำ
ขึ้น – ลง สร้างด้วยรัตนชาติเจ็ดชนิด อยู่เหนือหาดทรายทอง ๔)
แต่ละท่ามีบันไดสี่ขั้น ทั้งหมดสี่บันได รายรอบทั้งสี่ทิศ ๕)
รอบสระบัวทั้งเจ็ด มีต้นไม้อัญมณีเจ็ดชนิดที่ออกดอกออกผลตระการตา งดงามเกินบรรยาย ๖)
ในสระมีดอกบัวนานาสี
-๓-
นานาพันธุ์ ทั้งเขียว
เหลือง แดง ขาว
หรือน้ำเงิน ๗)
บนผืนน้ำระหว่างดอกบัวที่ลอยไปลอยมาคือมณีรัตนะเจ็ดสีและ ๘)
พื้นที่ใต้เหล่าบัวบานก็จะเป็นรัตนะทั้งเจ็ด ดาษดื่นอยู่ใต้พื้นน้ำส่องสว่างเรืองรอง
นอกจากนี้พื้นดินยังปูลาดด้วยทองคำ
มีฝนดอกมณฑารพโปรยปรายส่งกลิ่นหอมฟุ้งกำจาย อบอวลให้ชื่นใจวันละหกเวลากลางวันสามครั้ง กลางคืนสามครั้ง
ยามเช้าชาวสุขาวดีก็จะเก็บดอกมณฑารพทิพย์นี้ไปถวายบูชาพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ได้ ที่สวรรค์แห่งใดก็ได้ เพียงแต่ตั้งจิตอธิษฐาน ชั่วขณะหนึ่งก็สามารถไปหรือกลับมายังสุขาวดีได้อีก
ในสุขาวดีมีนกมากมาย
แต่ล้วนเป็นนกทรงศักดิ์ อาทิ หงส์
เหมราช ยูงทอง หรือนกกระเรียนพันปี เป็นต้น
นกเหล่านี้จะส่งเสียงร้องประกาศธรรม
เมื่อได้ยินแล้วทำให้จิตใจเบิกบาน
เกิดความน้อมนำในธรรม
เกิดพุทธานุสติและธรรมมานุสติได้ในทันที
อาจมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่าสุขาวดีแตกต่างอย่างไรกับสวรรค์ชั้นฟ้า ในความเข้าใจของคนทั่วไป จริงอยู่ว่าคำบรรยายลักษณะภายในของสุขาวดีนั้นเหมือนกับเป็นสวรรค์แห่งหนึ่ง แต่ข้อแตกต่างระหว่างสวรรค์กับสุขาวดี (รวมทั้งพุทธเกษตรอื่นๆ) ก็คือ
บุคคลที่ได้ไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์
เมื่อรับกุศลผลบุญที่ตนเองทำไว้แล้วก็จะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดใหม่ มีชีวิตขึ้นๆลงๆ ตามแต่กรรมที่ได้สร้างไว้
แต่พุทธเกษตรเป็นเสมือนที่พักอยู่ระหว่างสังสารวัฏกับนิพพาน ไม่ใช่ทั้งสังสารวัฏและนิพพาน แต่เป็นภาวะ
(เปรียบคือแดน)
ที่บุคคลจะได้อบรมตนเองเพื่อหลุดพ้นโดยที่ไม่ต้องทนทุกข์อยู่ในวงล้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอีก
วิธีปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่แดนสุขาวดี
ในหนังสือปรัชญามหายานของท่านเสถียรโพธินันทะ กล่าวไว้ว่าพระสูตรหลักทั้งสามฉบับ กล่าวถึงวิธีการที่จะนำไปสู่ดินแดนสุขาวดีแตกต่างกัน วิธีง่ายที่สุดมาจากจุลสุขาวตีวยูหสูตร ที่เน้นเพียงการสวดพระนามของพระอมิตาภะด้วยจิตตั้งมั่นและศรัทธา
ส่วนพระสูตรสองฉบับที่เหลือกล่าวถึงการบำเพ็ญกุศลในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ควบคู่ไปกับการตั้งจิตอธิษฐานและสวดพระนามพระอมิตาภะ
ท่านนาคารชุนกล่าวไว้ในทศภูมิภาษาว่า
“พระโพธิสัตว์ผู้ปฏิบัติเพื่อภูมิอันไม่เวียนกลับ มีมรรคาอยู่ ๒
ทาง ทางหนึ่งปฏิบัติยาก ทางที่สองปฏิบัติง่าย ทางปฏิบัติยากนั้น ได้แก่ในสหาโลกธาตุยามพ้นพุทธกาล
การปฏิบัติเพื่อบรรลุภูมิอันไม่เวียนกลับยากนัก ความยากลำบากนี้มีหลายกรณีด้วยกัน ว่ากันโดยสรุปก็ได้แก่๑. พวกมิจฉาทิฏฐิ
ร่วมกันทำลายก่อกวนโพธิสัตวธรรม ๒. พระสาวกที่เห็นแก่ปัจเจกสุข กั้นขวางมหาเมตตากรุณา ๓.
พวกทุรชนไม่มีหิริโอตตัปปะ
ทำลายกุศลกรรมของผู้อื่น ๔. วิบากกุศลชนิดโมหะ อันสามารถทำลายพรหมจรรย์ ๕.
พึ่งแต่กำลังตนเองไม่มีกำลังผู้อื่นช่วย
ส่วนทางปฏิบัติที่ง่ายได้แก่ความศรัทธาในพระพุทธองค์เป็นเหตุปัจจัย
ตั้งปณิธานไปอุบัติในสุขาวดี เมื่อได้อาศัยปณิธานและพละของพระพุทธองค์เท่านั้นก็จะไปปฏิสนธิในวิสุทธิภูมินั้น
คณาจารย์เต้าเฉียกก็กล่าวว่า “สัตว์ทั้งหลายที่ยังต้องเวียนเกิดเวียนตาย ไม่อาจหลุดพ้นจากเรือนไฟ (คือโลก) นี้ได้
ก็เพราะยังไม่ได้เข้าถึงอริยวิถีทั้ง ๒
ซึ่งสามารถทำลายชาติมรณะนั้น
อริยวิถีทั้ง ๒ คือไฉน
หนึ่งคือ อริยมรรค (มรรค
๘) สองคือ การไปอุบัติในสุขาวดี อริยมรรคนั้นยากที่จะบรรลุได้ในปัจุบันด้วย
-๔-
เหตุว่าห่างอริยกาลนานแล้ว และเพราะปัญญาของสัตว์เบาบาง
มีแต่วิถีทางไปเกิดในสุขาวดีเท่านั้นที่สามารถปฏิบัติไปได้สะดวก
บทวิเคราะห์
หลังจากศึกษาจากหนังสือเอกสารของเหล่าคณาจารย์ทั้งหลายที่เขียนเรื่องสุขาวดีแล้ว ข้าพเจ้าขอเสนอบทวิเคราะห์เกี่ยวกับนิกายสุขาวดีไว้ ๒
ประเด็น คือ
สาเหตุที่นิกายสุขาวดีมีผู้นับถือมากในแถบเอเชียตะวันออก
การที่นิกายสุขาวดี มีผู้นับถือมากในแถบเอเชียตะวันออก คือ
จีน ทิเบต ไต้หวัน
เกาหลี และญี่ปุ่น มีสาเหตุหลายประการคือ
๑) ดินแดนสุขาวดีเข้าได้กับคติความเชื่อของชาวจีน
ในคัมภีร์พระพุทธศาสนามหายานกล่าวถึงดินแดนสุขาวดีว่าเป็นสวรรค์ตั้งอยู่เบื้องทิศตะวันตกของโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่
ทิศตะวันตกแดนเป็นที่ตั้งแห่งสวรรค์นี้เกิดจากชาวตะวันออกแต่โบราณมีคติว่า ความตาย
เป็นภาวะดับมืดเหมือนดวงตะวันลับขอบฟ้าในยามอัศดงคต (ที่เรียกว่าตะวันตกดิน) ความสว่างดับลงไปเบื้องทิศตะวันตก ทิศตะวันตกจึงเท่ากับเป็นทิศแห่งความดับ หรือทิศแห่งความตาย เป็นทางไปของดวงวิญญาณทั้งหลาย
ตรงนี้ พระพุทธศาสนามหายานฉลาดมาก ด้วยการไปสร้างสวรรค์คอยล่วงหน้าผู้ตายไว้ในทิศที่คิดว่าดวงวิญญาณจะไปสู่ คือ
สวรรค์สุขาวดี
ครั้นคติพุทธศาสนา สุขาวดี
เข้าไปถึงประเทศจีน
เรื่องสวรรค์สุขาวดี
(อยู่ทางทิศตะวันตก)
จึงยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นอีก
ด้วยจีนมองเห็นแก่ตาว่าชมพูทวีป
แหล่งเกิดพุทธธรรม คือสุขาวดีของตน และชมพูทวีป
(สุขาวดี) แหล่งเกิดพุทธธรรมนั้น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจีน โดยทางภูมิศาสตร์ด้วย
และโดยที่ประเทศจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นผู้นำด้านความคิดมีความแข็งแกร่งทางวัฒนธรรม มีความสามารถทางการค้าขาย รวมทั้งมีอิทธิพลสูง
เมื่อติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ
ความคิดเรื่องสวรรค์สุขาวดีจึงแพร่กระจายเข้าสู่ทิเบต ไต้หวัน
เกาหลี และญี่ปุ่น ได้โดยง่าย
๒) นิกายสุขาวดีสามารถฉายภาพดินแดนสุขาวดีให้คนทั่วไปเข้าใจได้ว่ามีจริง ในเรื่องนี้นอกจากความฉลาดของฝ่ายมหายานในเรื่องสร้างดินแดนสวรรค์สุขาวดีไว้ทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นดินแดนชมภูทวีปชาวจีนสามารถเห็นได้ด้วยตาแล้ว ความฉลาดอีกประการหนึ่งคือ การฉายภาพของสวรรค์นั้นให้เห็นอย่างชัดเจนในจินตนาการทั้งในเรื่องของสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความรื่นรมย์ มีความปลอดภัย
มีทรัพย์สินมีค่ามากมาย มีเสียงบรรยายธรรม และเสียงดนตรีทิพย์คอยบรรเลงตลอดเวลา มีต้นไม้ดอกไม้ สระน้ำที่มีกลิ่นหอม ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีชีวิตยืนยาว
และมุ่งตรงสู่นิพพาน
ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดให้ทุกข์ทรมานอีก ซึ่งตรงกับความปรารถนาของทุกคนที่ต้องการไปเกิดในแดนสวรรค์นั้น
ซึ่งในทางวิชาการอยู่ในระดับการรับรู้ขั้นแรก
-๕-
ของบุคคลธรรมดาทั่วไป ซึ่งรับรู้สิ่งต่างๆด้วยปรากฏการณ์ทางกายภาพ (Body) ที่เมื่อเห็นได้
สัมผัสได้ ก็จะเกิดศรัทธาเชื่อถือได้โดยง่าย
นิกายสุขาวดีกับสังคมยุคใหม่
จากการศึกษาแล้วพบว่านิกายสุขาวดีมีวิธีปฏิบัติอยู่
๒ ทาง ทางที่หนึ่งเป็นทางที่ยาก คือ ปฏิบัติตามอริยมรรค ซึ่งตรงกับพระพุทธศาสนาเถรวาท
ในที่นี้จะไม่กล่าวถึง แต่อีกวิธีหนึ่งจะเป็นวิธีที่ง่าย ใช้เวลาน้อย
แต่ได้ผลมหาศาล ยกตัวอย่างเช่น
เพียงการสวดพระนามของพระอมิตาภะด้วยจิตตั้งมั่นและศรัทธาก็สามารถนำไปสู่ดินแดนสุขาวดีได้แล้ว
อีกตัวอย่างหนึ่ง
มีปรากฏในพระสูตรต่างๆของมหายาน คือ สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด
หากได้สดับพระนามพระอมิตาภะแล้วมีจิตศรัทธารำลึกอยู่ ๑ ครั้ง ถึง ๑๐ ครั้ง
มีจิตปรารถนาจะไปเกิดในดินแดนสุขาวดี ครั้นเมื่อตายไปแล้วก็จะไปอุบัติในดินแดนนั้น
ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ใช้เวลาน้อยมากประมาณคร่าวๆแล้วครั้งละไม่ถึง ๑ นาที
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า
นิกายสุขาวดีมีแนวคิดและวิธีปฏิบัติที่ง่ายไม่สลับซับซ้อน
คนทั่วไปสามารถเข้าใจและปฏิบัติได้ ใช้เวลาน้อย แต่ได้ผลมาก ซึ่งเข้าได้กับวิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบัน
ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการทำมาหากินเรียกได้ว่าตัวเป็นเกลียว เวลาพักผ่อนก็แทบจะไม่มี
ดั้งนั้น นิกายสุขาวดีที่มุ่งที่ศรัทธาต่อพระอมิตาภะ และท่องพระนามท่าน
คนในสังคมปัจจุบันเมื่อมีสติระลึกถึงก็ยังสามารถปฏิบัติได้ในทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องใช้เวลามาก
วิธีการไม่ยุ่งยาก แต่ได้ผลมหาศาล จึงยังคงเข้ากันได้กับวิถีชีวิตของสังคมที่เจริญแล้วอย่างจีน
ไต้หวัน เกาหลี และญี่ปุ่น
สรุป
จากการศึกษาเรื่องนิกายสุขาวดีแล้วสรุปได้ว่า
สวรรค์สุขาวดีนับเป็นเรื่องเด่นของพระพุทธศาสนามหายานเพราะปรับตัวให้เข้ากันได้กับคติของชาวจีน ทำให้มีผู้นับถือจำนวนมาก
ประกอบกับจีนเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมแข็งแกร่ง และมีอิทธิพลสูง แนวคิดเรื่องสุขาวดีจึงแพร่กระจายเข้าสู่ทิเบต ไต้หวัน
เกาหลี และญี่ปุ่น ได้โดยง่าย
และในปัจจุบันประเทศเหล่านั้นเป็นประเทศที่เจริญแล้วเพราะเหตุใดจึงยังคงเชื่อเรื่องสวรรค์อยู่ ข้าพเจ้าวิเคราะห์ว่าเพราะนิกายสุขาวดีสามารถฉายภาพสวรรค์สุขาวดีได้อย่างชัดเจน
วิธีปฏิบัติก็ง่าย ได้ผลมาก แต่ใช้เวลาน้อย
จึงยังคงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในประเทศเหล่านั้นเพราะเข้าได้กับวิถีชีวิตประจำวันของสังคมทันสมัยที่ต้องเร่งรีบ
มีเวลาน้อย แต่ต้องการผลมาก
ประโยชน์ที่เกิดจากการศึกษานิกายสุขาวดี
ข้าพเจ้าคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเผยแพร่พระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างน้อย ๒
ประการ คือ
๑. ประโยชน์เรื่องอุบายวิธี
นิกายสุขาวดี มีอุบายวิธีในการฉายภาพดินแดนสุขาวดีให้คนทั่วไปเห็นได้อย่างชัดเจน
พุทธศาสนาเถรวาทก็มีเรื่องของสวรรค์ชั้นต่างๆอยู่มากมาย ก็ควรนำประเด็นเรื่องสวรรค์มาฉายภาพให้เห็นได้อย่างชัดเจน
เพื่อชักจูงคนธรรมดาทั่วไปที่ยังมีการศึกษาน้อยหรือสติปัญญายังน้อยอยู่ ให้เข้ามา
-๖-
เลื่อมใสศรัทธาเสียก่อน
แล้วจึงค่อยพัฒนาสติปัญญาให้ก้าวหน้าต่อไป ดีกว่าปล่อยให้ไปบนบานศาลกล่าวต่อเทพยดาฟ้าดิน
ต้นไม้ หรือสัตว์ประหลาดต่างๆ ดังปรากฏในสื่อมวลชนทั่วๆไป
๒. ประโยชน์เรื่องวิธีปฏิบัติ
ปัจจุบันประเทศไทยมีการพัฒนาจนกลายเป็นสังคมเมืองเกือบทุกจังหวัด (Unbanization) การดำรงชีวิตในต่างจังหวัดเริ่มไม่แตกต่างจากเมืองหลวง คือต้องเร่งรีบ
ผู้คนเริ่มมีเวลาเป็นส่วนตัวน้อยลง ดังนั้น พระพุทธศาสนาเถรวาท ควรปรับปรุงวิธีการสอนและวิธีปฏิบัติบางประการเพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิตของสังคมเมือง เช่น การสอนให้เจริญพุทธานุสสติอยู่เสมอ
เพราะการที่ผู้เจริญพุทธานุสสติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อยู่เสมอ จิตย่อมบริสุทธิ์สะอาดเป็นกุศล
ในกาลมรณะหากจิตยังคงผูกพันถึงพระพุทธเจ้าก็จักไปปฏิสนธิในสุคติภพ ข้อนี้มีพุทธภาษิตรับรองไว้ว่า “จิตเต
อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา” เมื่อจิตผ่องใสแล้วสุคติเป็นอันหวังได้ ซึ่งการปฏิบัติเช่นว่านี้ยังคงใช้ได้กับวิถีชีวิตสังคมในปัจจุบัน แต่อาจลืมเลือนกันไป
ในฐานะที่ชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นหลัก
การได้ศึกษาพระพุทธศาสนามหายานก็เกิดประโยชน์จากการได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้เพื่อ ๑.
แสวงหาความเหมือนในความแตกต่าง (Unity in Diversity) ๒. เพื่อจะได้เข้าใจพระพุทธศาสนาในภาพรวม และเป็นพลังในการขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน
(Unity) ๓.
เพื่อศึกษาตามแนวพุทธปรัชญาหลังนวยุค (Buddhist
Post Modern) เพื่อส่งเสริมกันให้ดียิ่งขึ้น (Enrichment) ๔.
เพื่อเข้าถึงหลักธรรมในพระพุทธศาสนาว่าด้วยการไม่ยึดมั่นถือมั่น (Non-Attachment) อันเป็นการศึกษาที่แท้ที่มองหาแต่ความจริงและประโยชน์