วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557


นิกายสุขาวดีกับวิถีชีวิตสังคมยุคใหม่

คำนำ                                                                                      นายสกล  เหลืองไพฑูรย์

          พระพุทธศาสนามีอายุสืบทอดถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ  ๒,๖๐๐  ปี  นับแต่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  ได้ผ่านกาลเวลาที่ยาวนานทั้งในยุคที่เจริญรุ่งเรืองและยุคเสื่อม  ก่อนที่จะขยายออกไปเป็นพระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน  ส่วนที่แผ่ไปทางเหนือของอินเดียนั้นเป็นแบบมหายาน  ส่วนที่แผ่มาทางใต้ของอินเดียเป็นแบบเถรวาท  ซึ่งล้วนมาจากจุดกำเนิดเดียวกันมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน  คือช่วยให้มนุษย์      พ้นจากความทุกข์
          จุดเด่นของพระพุทธศาสนามหายาน  นอกจากเรื่องแนวคิดพระโพธิสัตว์แล้วคือเรื่องสวรรค์สุขาวดี  คตินี้เริ่มเกิดในชมพูทวีป  เมื่อราวพุทธศักราชล่วงได้  ๖๐๐  ปี  มีความเชื่อถือกว้างขวางมาก  ทั้งในประเทศจีนและญี่ปุ่น”  จึงมีประเด็นที่น่าศึกษาว่าเพราะเหตุใด  นิกายสุขาวดีจึงมีผู้นับถือจำนวนมาก  ทั้งในประเทศจีน  ไต้หวัน  เกาหลี  และญี่ปุ่น  ซึ่งเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าทั้งทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี  และเพราะเหตุใดแนวความคิดเรื่องสุขาวดีจึงสามารถผสมกลมกลืนได้กับวิถีชีวิตสังคมที่ทันสมัยเช่นนั้นได้ 

ประวัติความเป็นมาของนิกายสุขาวดี
         ในหนังสือศาสนาต่างๆพระญาณวโรดมได้กล่าวไว้ว่า  พระพุทธศาสนาแพร่ไปสู่ประเทศจีนอย่างเป็นหลักฐานเมื่อราว พ.ศ.๖๑๐  ในสมัยพระเจ้าฮั่นเม่งเต้  แห่งราชวงศ์ฮั่น  พระองค์ได้ส่งคณะฑูตไปสืบพระพุทธศาสนาที่อินเดีย  เมื่อกลับไปยังเมืองจีนได้พาพระเถระชาวอินเดีย ๒ รูปไปด้วยคือท่านกัศยปมาตังคะ  (เกียเฮียะม่อเท้ง)  กับท่าน  ธรรมรักษ์  (เต็กฮวยลั้ง)  ท่านทั้งสองนี้เป็นพระนิกายมหายานได้นำคัมภีร์มหายานไปจากอินเดียด้วย  เช่น  คัมภีร์ทศภูมิสังโยชน์ภินทรสูตร  เป็นต้น  คัมภีร์เหล่านี้เป็นภาษาสันสกฤต  ท่านทั้งสองได้แปลเป็นภาษาจีน 
         เมื่อพระพุทธศาสนาเข้าไปเจริญในจีนแล้ว  คณาจารย์จีนได้นำเอาความนึกคิดแบบจีนมาประกอบเลยเกิดเป็นนิกายต่างๆขึ้น  มีลักษณะผิดไปจากนิกายมหายานในอินเดียบ้าง  เหมือนบ้าง  นิกายที่เกิดในประเทศจีนแท้ๆ  นั้นมี  ๑๕  นิกาย  แต่ย่อแล้วมี  ๘  นิกาย  หนึ่งในนั้นคือ  นิกายสุขาวดี  (เจ่งโท้วจง)
         นิกายสุขาวดี  ปฐมาจารย์ของนิกายนี้คือท่านฮุ่ยเอี้ยง  ในสมัยราชวงศ์จิ้น  ตั้งสำนักอยู่บนเขาลู้ซัว  แคว้นกังไส ต่อมาสมัยราชวงศ์ถัง  คณาจารย์ชานตา  ได้วางระเบียบแบบแผนของนิกาย  และถือเอา  ๓     พระสูตรเป็นหลัก  คือ  ๑.  มหาสุขาวดีวยูหสูตร  (ไต้ออนี้ถ่อหุกเก็ง) ๒.  จุลสุขาวดีวยูหสูตร  (ออนี้ถ่อเก็ง)
๓.  อมิตายุรชยานสูตร  (กวงบ่อเหลี่ยงซิวเก็ง)
         หลักธรรม  ของนิกายนี้  คือ  ภักดีนิยม  โดยพึ่งอำนาจภายนอก  คือพึ่งพระอมิตาภาพุทธะ  ด้วย  ศรัทธา  (ลิ่ง)  อธิษฐาน  (ง้วง)  ปฏิบัติ  (เหง)  ศรัทธา  คือเชื่อในพระอมิตาภาพุทธอย่างที่สุด  อธิษฐานคือตั้งใจขอให้ไปเกิดในแดนสุขาวดีพุทธเกษตร  ปฏิบัติ  คือท่อง  ออกพระนามอมิตาภาพุทธไม่ขาด          

-๒-
ว่า นโม  อมิตาภา  พุทธายะ  หรือจีนว่านำโม  ออนี  ถ่อหุก  ญี่ปุ่นว่า  นำบู  อมิตายุตสึ  ญวนว่า นำโบ       อายีด้าเผิก นิกายนี้  มีหลักการง่ายๆ  สำหรับสามัญชนทั่วไป  ไม่มีหลักปรัชญาที่ต้องคิดมาก  เป็นการปฏิบัติง่ายๆ       เพื่อผลมหาศาล  วิธีพ้นทุกข์  ประสบสุข  ของพระพุทธศาสนานั้นย่อมสำเร็จได้ด้วยมรรคญาณแต่ในนิกายนี้  ถือว่าสำเร็จได้ด้วยความภักดี  คือภักดีมรรค  แบบลัทธิศาสนาพราหมณ์  จึงเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป  ที่มิใช่ชั้นปัญญาชนแต่เป็นคนชอบทำง่ายเพื่อได้ผลมหาศาล 

ลักษณะของดินแดนสุขาวดี
          ในหนังสือ พุทธศาสนามหายาน ของอาจารย์สุมาลี   มหณรงค์ชัย ได้กล่าวถึงดินแดนสุขาวดี ไว้ดังนี้
          สุขาวดีเป็นพุทธเกษตรแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากโลกธาตุเราไปทางตะวันตก  นับแสนโกฏิ ที่นั่นปกครองโดยพระอมิตาภะ พุทธเกษตรแห่งนี้ได้รับการกล่าวขานว่ารุ่งเรืองสมบูรณ์ เต็มไปด้วยความสุขสบาย ปราศจากสัตว์หรืออมนุษย์ที่ชั่วร้าย ในแดนสุขาวดีเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ประดับประดาไปด้วยแก้วแหวนเงินทองล้ำค่า เครื่องประดับพวกเพชรพลอยรัตนชาติทั้งหลายสามารถพบเห็นได้ทุกแห่ง สวยงามและส่องสว่างไปทั่ว ที่นั่นจะมีเสียงทิพย์จากเครื่องดนตรีที่ไพเราะชนิดที่เราไม่อาจได้ยินในทางโลกหรือแม้แต่สวรรค์ชั้นสูง ประสาทราชวังล้วนประดับด้วยมณีรัตนะ สระน้ำกว้างหลายสระนับได้เป็นร้อยโยชน์พันโยชน์ก็มี น้ำภายในสระมีกลิ่นหอมอบอวล ดอกบัวที่อยู่ภายในก็เป็นที่อุบัติของสัตว์ทั้งหลาย เวลาหนึ่งวัน (ยี่สิบสี่ชั่วโมง) ในสุขาวดีเทียบได้กับหนึ่งกัลป์ของโลกมนุษย์ ที่สุขาวดีไม่มีฤดูกาล อากาศเย็นสบายอยู่เป็นนิตย์ ผู้ไปเกิด ณ ตรงนั้นล้วนเป็นอุปปาติกะ            (คือเกิดแล้วโตทันที) ในดอกบัว ไม่มีการแบ่งแยกเพศหรือวรรณะ ไม่มีเชื้อชาติ อายุ เรื่อยไปจนถึงโรคภัยไข้เจ็บใดๆ ผู้ที่อุบัติในแดนนั้นล้วนแต่เที่ยงต่อนิพพาน คืออย่างไรเสียก็จะได้หลุดพ้นที่สุขาวดี ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว ปรารถนาสิ่งใดก็จะได้สมประสงค์ จะได้ยินเสียงธรรมบรรยายของพระอมิตาภะและโพธิสัตว์อยู่เสมอจนกว่าจะหลุดพ้น ดังนั้น อายุของสัตว์ที่อุบัติที่นั่นจึงนับประมาณไม่ได้ ถ้ายังไม่หลุดพ้นก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกองทุกข์ แต่ถ้าหลุดพ้นแล้ว    จะตั้งปณิธานเพื่อกลับมาโปรดเวไนยสัตว์ในโลกธาตุอื่นก็สามารถทำได้
          ข้อมูลบางแห่งอธิบายดินแดนสุขาวดีไว้ว่า เป็นสถานที่อันงามวิจิตร เต็มไปด้วยอัญมณีล้ำค่า มีภูเขา  รัตนมณีเจ็ดลูก เรียงรายประดุจกำแพงแก้วเจ็ดชั้น มีแนวต้นตาลทองอีกเจ็ดแถว แต่ละแถวมีตาข่ายกระดึงทองขึงโยงไว้ มีเสียงใสๆ เสนาะโสตเวลาลมพัดมาตามพื้นที่ระเรื่อยไปก็ล้วนเกลื่อนกลาดด้วยรัตนชาติเจ็ดอย่าง ได้แก่ เพชร พลอย มรกต บุษราคัม เพทาย ไพฑูรย์ และหยกเขียว ที่สำคัญคือมีสระโบกขรณี (สระบัว)        อยู่มากมาย ทุกสระล้วนมีองค์ประกอบทิวทัศน์อันสวยวิจิตรแปดประการ คือ  ๑)  น้ำในสระใสราบรื่น        ๒)  ระดับน้ำลึกเต็มเสมอขอบ  กาก้มลงกินน้ำได้  ๓)  ท่าน้ำ  ขึ้น – ลง  สร้างด้วยรัตนชาติเจ็ดชนิด  อยู่เหนือหาดทรายทอง  ๔)  แต่ละท่ามีบันไดสี่ขั้น  ทั้งหมดสี่บันได  รายรอบทั้งสี่ทิศ   ๕)  รอบสระบัวทั้งเจ็ด             มีต้นไม้อัญมณีเจ็ดชนิดที่ออกดอกออกผลตระการตา  งดงามเกินบรรยาย  ๖)  ในสระมีดอกบัวนานาสี   

 
-๓-
นานาพันธุ์  ทั้งเขียว  เหลือง  แดง  ขาว  หรือน้ำเงิน  ๗)  บนผืนน้ำระหว่างดอกบัวที่ลอยไปลอยมาคือมณีรัตนะเจ็ดสีและ  ๘)  พื้นที่ใต้เหล่าบัวบานก็จะเป็นรัตนะทั้งเจ็ด  ดาษดื่นอยู่ใต้พื้นน้ำส่องสว่างเรืองรอง
         นอกจากนี้พื้นดินยังปูลาดด้วยทองคำ  มีฝนดอกมณฑารพโปรยปรายส่งกลิ่นหอมฟุ้งกำจาย  อบอวลให้ชื่นใจวันละหกเวลากลางวันสามครั้ง  กลางคืนสามครั้ง  ยามเช้าชาวสุขาวดีก็จะเก็บดอกมณฑารพทิพย์นี้ไปถวายบูชาพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ได้  ที่สวรรค์แห่งใดก็ได้  เพียงแต่ตั้งจิตอธิษฐาน  ชั่วขณะหนึ่งก็สามารถไปหรือกลับมายังสุขาวดีได้อีก
         ในสุขาวดีมีนกมากมาย  แต่ล้วนเป็นนกทรงศักดิ์  อาทิ  หงส์  เหมราช  ยูงทอง  หรือนกกระเรียนพันปี  เป็นต้น  นกเหล่านี้จะส่งเสียงร้องประกาศธรรม  เมื่อได้ยินแล้วทำให้จิตใจเบิกบาน  เกิดความน้อมนำในธรรม  เกิดพุทธานุสติและธรรมมานุสติได้ในทันที
         อาจมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่าสุขาวดีแตกต่างอย่างไรกับสวรรค์ชั้นฟ้า  ในความเข้าใจของคนทั่วไป  จริงอยู่ว่าคำบรรยายลักษณะภายในของสุขาวดีนั้นเหมือนกับเป็นสวรรค์แห่งหนึ่ง  แต่ข้อแตกต่างระหว่างสวรรค์กับสุขาวดี  (รวมทั้งพุทธเกษตรอื่นๆ)  ก็คือ  บุคคลที่ได้ไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์  เมื่อรับกุศลผลบุญที่ตนเองทำไว้แล้วก็จะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดใหม่  มีชีวิตขึ้นๆลงๆ  ตามแต่กรรมที่ได้สร้างไว้  แต่พุทธเกษตรเป็นเสมือนที่พักอยู่ระหว่างสังสารวัฏกับนิพพาน  ไม่ใช่ทั้งสังสารวัฏและนิพพาน  แต่เป็นภาวะ  (เปรียบคือแดน)  ที่บุคคลจะได้อบรมตนเองเพื่อหลุดพ้นโดยที่ไม่ต้องทนทุกข์อยู่ในวงล้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอีก

วิธีปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่แดนสุขาวดี
         ในหนังสือปรัชญามหายานของท่านเสถียรโพธินันทะ  กล่าวไว้ว่าพระสูตรหลักทั้งสามฉบับ  กล่าวถึงวิธีการที่จะนำไปสู่ดินแดนสุขาวดีแตกต่างกัน  วิธีง่ายที่สุดมาจากจุลสุขาวตีวยูหสูตร  ที่เน้นเพียงการสวดพระนามของพระอมิตาภะด้วยจิตตั้งมั่นและศรัทธา  ส่วนพระสูตรสองฉบับที่เหลือกล่าวถึงการบำเพ็ญกุศลในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ควบคู่ไปกับการตั้งจิตอธิษฐานและสวดพระนามพระอมิตาภะ
         ท่านนาคารชุนกล่าวไว้ในทศภูมิภาษาว่า  “พระโพธิสัตว์ผู้ปฏิบัติเพื่อภูมิอันไม่เวียนกลับ    มีมรรคาอยู่  ๒  ทาง  ทางหนึ่งปฏิบัติยาก  ทางที่สองปฏิบัติง่าย  ทางปฏิบัติยากนั้น  ได้แก่ในสหาโลกธาตุยามพ้นพุทธกาล  การปฏิบัติเพื่อบรรลุภูมิอันไม่เวียนกลับยากนัก  ความยากลำบากนี้มีหลายกรณีด้วยกัน  ว่ากันโดยสรุปก็ได้แก่๑.  พวกมิจฉาทิฏฐิ  ร่วมกันทำลายก่อกวนโพธิสัตวธรรม  ๒.  พระสาวกที่เห็นแก่ปัจเจกสุข  กั้นขวางมหาเมตตากรุณา  ๓.  พวกทุรชนไม่มีหิริโอตตัปปะ  ทำลายกุศลกรรมของผู้อื่น  ๔.  วิบากกุศลชนิดโมหะ         อันสามารถทำลายพรหมจรรย์  ๕.  พึ่งแต่กำลังตนเองไม่มีกำลังผู้อื่นช่วย ส่วนทางปฏิบัติที่ง่ายได้แก่ความศรัทธาในพระพุทธองค์เป็นเหตุปัจจัย ตั้งปณิธานไปอุบัติในสุขาวดี เมื่อได้อาศัยปณิธานและพละของพระพุทธองค์เท่านั้นก็จะไปปฏิสนธิในวิสุทธิภูมินั้น
         คณาจารย์เต้าเฉียกก็กล่าวว่า  “สัตว์ทั้งหลายที่ยังต้องเวียนเกิดเวียนตาย  ไม่อาจหลุดพ้นจากเรือนไฟ   (คือโลก)  นี้ได้   ก็เพราะยังไม่ได้เข้าถึงอริยวิถีทั้ง  ๒  ซึ่งสามารถทำลายชาติมรณะนั้น  อริยวิถีทั้ง  ๒  คือไฉน  หนึ่งคือ  อริยมรรค  (มรรค  ๘)  สองคือ  การไปอุบัติในสุขาวดี  อริยมรรคนั้นยากที่จะบรรลุได้ในปัจุบันด้วย
-๔-
เหตุว่าห่างอริยกาลนานแล้ว  และเพราะปัญญาของสัตว์เบาบาง  มีแต่วิถีทางไปเกิดในสุขาวดีเท่านั้นที่สามารถปฏิบัติไปได้สะดวก

บทวิเคราะห์
         หลังจากศึกษาจากหนังสือเอกสารของเหล่าคณาจารย์ทั้งหลายที่เขียนเรื่องสุขาวดีแล้ว  ข้าพเจ้าขอเสนอบทวิเคราะห์เกี่ยวกับนิกายสุขาวดีไว้  ๒  ประเด็น  คือ
สาเหตุที่นิกายสุขาวดีมีผู้นับถือมากในแถบเอเชียตะวันออก
         การที่นิกายสุขาวดี  มีผู้นับถือมากในแถบเอเชียตะวันออก  คือ  จีน  ทิเบต  ไต้หวัน  เกาหลี         และญี่ปุ่น  มีสาเหตุหลายประการคือ
         ๑)  ดินแดนสุขาวดีเข้าได้กับคติความเชื่อของชาวจีน  ในคัมภีร์พระพุทธศาสนามหายานกล่าวถึงดินแดนสุขาวดีว่าเป็นสวรรค์ตั้งอยู่เบื้องทิศตะวันตกของโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่  ทิศตะวันตกแดนเป็นที่ตั้งแห่งสวรรค์นี้เกิดจากชาวตะวันออกแต่โบราณมีคติว่า  ความตาย  เป็นภาวะดับมืดเหมือนดวงตะวันลับขอบฟ้าในยามอัศดงคต  (ที่เรียกว่าตะวันตกดิน)  ความสว่างดับลงไปเบื้องทิศตะวันตก  ทิศตะวันตกจึงเท่ากับเป็นทิศแห่งความดับ  หรือทิศแห่งความตาย  เป็นทางไปของดวงวิญญาณทั้งหลาย
         ตรงนี้  พระพุทธศาสนามหายานฉลาดมาก  ด้วยการไปสร้างสวรรค์คอยล่วงหน้าผู้ตายไว้ในทิศที่คิดว่าดวงวิญญาณจะไปสู่  คือ  สวรรค์สุขาวดี
         ครั้นคติพุทธศาสนา  สุขาวดี  เข้าไปถึงประเทศจีน  เรื่องสวรรค์สุขาวดี  (อยู่ทางทิศตะวันตก)  จึงยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นอีก  ด้วยจีนมองเห็นแก่ตาว่าชมพูทวีป  แหล่งเกิดพุทธธรรม  คือสุขาวดีของตน  และชมพูทวีป  (สุขาวดี)  แหล่งเกิดพุทธธรรมนั้น  ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจีน  โดยทางภูมิศาสตร์ด้วย
         และโดยที่ประเทศจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นผู้นำด้านความคิดมีความแข็งแกร่งทางวัฒนธรรม  มีความสามารถทางการค้าขาย  รวมทั้งมีอิทธิพลสูง เมื่อติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ  ความคิดเรื่องสวรรค์สุขาวดีจึงแพร่กระจายเข้าสู่ทิเบต  ไต้หวัน  เกาหลี  และญี่ปุ่น  ได้โดยง่าย
         ๒)  นิกายสุขาวดีสามารถฉายภาพดินแดนสุขาวดีให้คนทั่วไปเข้าใจได้ว่ามีจริง  ในเรื่องนี้นอกจากความฉลาดของฝ่ายมหายานในเรื่องสร้างดินแดนสวรรค์สุขาวดีไว้ทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นดินแดนชมภูทวีปชาวจีนสามารถเห็นได้ด้วยตาแล้ว  ความฉลาดอีกประการหนึ่งคือ  การฉายภาพของสวรรค์นั้นให้เห็นอย่างชัดเจนในจินตนาการทั้งในเรื่องของสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความรื่นรมย์  มีความปลอดภัย      มีทรัพย์สินมีค่ามากมาย  มีเสียงบรรยายธรรม  และเสียงดนตรีทิพย์คอยบรรเลงตลอดเวลา  มีต้นไม้ดอกไม้  สระน้ำที่มีกลิ่นหอม  ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ  มีชีวิตยืนยาว  และมุ่งตรงสู่นิพพาน  ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดให้ทุกข์ทรมานอีก   ซึ่งตรงกับความปรารถนาของทุกคนที่ต้องการไปเกิดในแดนสวรรค์นั้น ซึ่งในทางวิชาการอยู่ในระดับการรับรู้ขั้นแรก

-๕-
ของบุคคลธรรมดาทั่วไป  ซึ่งรับรู้สิ่งต่างๆด้วยปรากฏการณ์ทางกายภาพ  (Body) ที่เมื่อเห็นได้ สัมผัสได้ ก็จะเกิดศรัทธาเชื่อถือได้โดยง่าย 

นิกายสุขาวดีกับสังคมยุคใหม่
          จากการศึกษาแล้วพบว่านิกายสุขาวดีมีวิธีปฏิบัติอยู่ ๒ ทาง ทางที่หนึ่งเป็นทางที่ยาก คือ ปฏิบัติตามอริยมรรค ซึ่งตรงกับพระพุทธศาสนาเถรวาท ในที่นี้จะไม่กล่าวถึง แต่อีกวิธีหนึ่งจะเป็นวิธีที่ง่าย ใช้เวลาน้อย แต่ได้ผลมหาศาล ยกตัวอย่างเช่น เพียงการสวดพระนามของพระอมิตาภะด้วยจิตตั้งมั่นและศรัทธาก็สามารถนำไปสู่ดินแดนสุขาวดีได้แล้ว
          อีกตัวอย่างหนึ่ง มีปรากฏในพระสูตรต่างๆของมหายาน คือ สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด หากได้สดับพระนามพระอมิตาภะแล้วมีจิตศรัทธารำลึกอยู่ ๑ ครั้ง ถึง ๑๐ ครั้ง มีจิตปรารถนาจะไปเกิดในดินแดนสุขาวดี ครั้นเมื่อตายไปแล้วก็จะไปอุบัติในดินแดนนั้น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ใช้เวลาน้อยมากประมาณคร่าวๆแล้วครั้งละไม่ถึง ๑ นาที
          จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า นิกายสุขาวดีมีแนวคิดและวิธีปฏิบัติที่ง่ายไม่สลับซับซ้อน คนทั่วไปสามารถเข้าใจและปฏิบัติได้ ใช้เวลาน้อย แต่ได้ผลมาก ซึ่งเข้าได้กับวิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการทำมาหากินเรียกได้ว่าตัวเป็นเกลียว เวลาพักผ่อนก็แทบจะไม่มี ดั้งนั้น นิกายสุขาวดีที่มุ่งที่ศรัทธาต่อพระอมิตาภะ และท่องพระนามท่าน คนในสังคมปัจจุบันเมื่อมีสติระลึกถึงก็ยังสามารถปฏิบัติได้ในทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องใช้เวลามาก วิธีการไม่ยุ่งยาก แต่ได้ผลมหาศาล จึงยังคงเข้ากันได้กับวิถีชีวิตของสังคมที่เจริญแล้วอย่างจีน ไต้หวัน เกาหลี และญี่ปุ่น

สรุป
          จากการศึกษาเรื่องนิกายสุขาวดีแล้วสรุปได้ว่า  สวรรค์สุขาวดีนับเป็นเรื่องเด่นของพระพุทธศาสนามหายานเพราะปรับตัวให้เข้ากันได้กับคติของชาวจีน  ทำให้มีผู้นับถือจำนวนมาก  ประกอบกับจีนเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมแข็งแกร่ง  และมีอิทธิพลสูง แนวคิดเรื่องสุขาวดีจึงแพร่กระจายเข้าสู่ทิเบต  ไต้หวัน  เกาหลี  และญี่ปุ่น  ได้โดยง่าย  และในปัจจุบันประเทศเหล่านั้นเป็นประเทศที่เจริญแล้วเพราะเหตุใดจึงยังคงเชื่อเรื่องสวรรค์อยู่  ข้าพเจ้าวิเคราะห์ว่าเพราะนิกายสุขาวดีสามารถฉายภาพสวรรค์สุขาวดีได้อย่างชัดเจน วิธีปฏิบัติก็ง่าย ได้ผลมาก แต่ใช้เวลาน้อย จึงยังคงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในประเทศเหล่านั้นเพราะเข้าได้กับวิถีชีวิตประจำวันของสังคมทันสมัยที่ต้องเร่งรีบ มีเวลาน้อย แต่ต้องการผลมาก
ประโยชน์ที่เกิดจากการศึกษานิกายสุขาวดี ข้าพเจ้าคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเผยแพร่พระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างน้อย ๒ ประการ คือ
          ๑. ประโยชน์เรื่องอุบายวิธี นิกายสุขาวดี มีอุบายวิธีในการฉายภาพดินแดนสุขาวดีให้คนทั่วไปเห็นได้อย่างชัดเจน พุทธศาสนาเถรวาทก็มีเรื่องของสวรรค์ชั้นต่างๆอยู่มากมาย ก็ควรนำประเด็นเรื่องสวรรค์มาฉายภาพให้เห็นได้อย่างชัดเจน เพื่อชักจูงคนธรรมดาทั่วไปที่ยังมีการศึกษาน้อยหรือสติปัญญายังน้อยอยู่ ให้เข้ามา
-๖-
เลื่อมใสศรัทธาเสียก่อน แล้วจึงค่อยพัฒนาสติปัญญาให้ก้าวหน้าต่อไป ดีกว่าปล่อยให้ไปบนบานศาลกล่าวต่อเทพยดาฟ้าดิน ต้นไม้ หรือสัตว์ประหลาดต่างๆ ดังปรากฏในสื่อมวลชนทั่วๆไป
          ๒. ประโยชน์เรื่องวิธีปฏิบัติ ปัจจุบันประเทศไทยมีการพัฒนาจนกลายเป็นสังคมเมืองเกือบทุกจังหวัด (Unbanization) การดำรงชีวิตในต่างจังหวัดเริ่มไม่แตกต่างจากเมืองหลวง คือต้องเร่งรีบ ผู้คนเริ่มมีเวลาเป็นส่วนตัวน้อยลง ดังนั้น พระพุทธศาสนาเถรวาท ควรปรับปรุงวิธีการสอนและวิธีปฏิบัติบางประการเพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิตของสังคมเมือง  เช่น การสอนให้เจริญพุทธานุสสติอยู่เสมอ เพราะการที่ผู้เจริญพุทธานุสสติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อยู่เสมอ จิตย่อมบริสุทธิ์สะอาดเป็นกุศล ในกาลมรณะหากจิตยังคงผูกพันถึงพระพุทธเจ้าก็จักไปปฏิสนธิในสุคติภพ  ข้อนี้มีพุทธภาษิตรับรองไว้ว่า “จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา” เมื่อจิตผ่องใสแล้วสุคติเป็นอันหวังได้  ซึ่งการปฏิบัติเช่นว่านี้ยังคงใช้ได้กับวิถีชีวิตสังคมในปัจจุบัน  แต่อาจลืมเลือนกันไป
          ในฐานะที่ชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นหลัก การได้ศึกษาพระพุทธศาสนามหายานก็เกิดประโยชน์จากการได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพื่อ  ๑. แสวงหาความเหมือนในความแตกต่าง (Unity in Diversity)   ๒. เพื่อจะได้เข้าใจพระพุทธศาสนาในภาพรวม และเป็นพลังในการขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน (Unity)   ๓. เพื่อศึกษาตามแนวพุทธปรัชญาหลังนวยุค  (Buddhist Post Modern) เพื่อส่งเสริมกันให้ดียิ่งขึ้น  (Enrichment)  ๔. เพื่อเข้าถึงหลักธรรมในพระพุทธศาสนาว่าด้วยการไม่ยึดมั่นถือมั่น (Non-Attachment)  อันเป็นการศึกษาที่แท้ที่มองหาแต่ความจริงและประโยชน์